พระธรรมกิตติเมธี โฆษกมหาเถรสมาคม เปิดเผยว่า ในช่วงระหว่างเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2552 แม้จะเป็นฤดูร้อน แต่ปรากฏว่ามีสภาพอากาศแปรปรวน บางวันร้อนจัด แต่บางวันมีฝนตกหนัก สภาพอากาศเช่นนี้ส่งผลให้สภาพร่างกายของคนทั่วไป ไม่สามารถปรับตัวได้ทัน ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยเป็นไข้หวัด อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ไม่เว้นแม้แต่พระภิกษุ-สามเณร ต่างได้รับผลจากสภาพอากาศ ทำให้เกิดเจ็บป่วยอาพาธโดยทั่วกัน ทั้งนี้ พระภิกษุ-สามเณร จำเป็นต้องระวังเรื่องสุขภาพให้มากเป็นพิเศษ ไม่ให้เกิดความเจ็บป่วย เพราะจะกระทบต่อการปฏิบัติศานสนกิจประจำวัน ด้วยพระภิกษุมีความแตกต่างจากฆราวาสในเรื่องของการฉันอาหารเพียงวันละ 2 มื้อ คือ ตอนเช้าและเพล อีกประการหนึ่ง พระภิกษุไม่สามารถประกอบการหุงหาอาหารได้ดังเช่นฆราวาส ต้องออกบิณฑบาตในตอนเช้าโปรดญาติโยมผู้ศรัทธาที่นำอาหารมาถวาย ซึ่งอาหารที่ได้รับจากญาติโยม อาจให้สารอาหารไม่ครบ 5 หมู่ หรือไม่ครบถ้วนตามหลักโภชนาการ ทำให้สภาพร่างกายของพระภิกษุไม่สมบูรณ์ จำเป็นที่จะต้องดูแลสุขภาพเป็นอย่างดี โดยการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายที่ไม่ขัดต่อสมณสารูป เช่น การทำโยคะหรือเดินจงกรม เป็นต้น
โฆษก มส.กล่าวต่อว่า หากมีความจำเป็นต้องเดินทางไปข้างนอก ไม่ว่าจะมีแดดแรงหรือฝนตกหนัก ควรจะพกร่มติดตัวไปด้วย อีกทั้งเมื่อร่างกายเปียกชื้นจากฝน ควรจะรีบถอดผ้าจีวรที่เปียก สรงน้ำ สระผม และเช็ดตัวให้แห้งทันที นอกจากนี้ พระภิกษุจำเป็นต้องระมัดระวังในการฉันภัตตาหารให้มาก ด้วยอาหารในช่วงฤดูร้อน มีโอกาสเสียหรือบูดได้เร็วๆ กว่าปกติ อันเนื่องมาจากเมืองไทยเป็นเมืองร้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูร้อน อุณหภูมิเหมาะสมกับการเจริญเติบโตของเชื้อที่ทำให้เกิดโรคท้องร่วง ดังนั้น อาหารทุกชนิดเมื่อวางทิ้งไว้นาน หากพระภิกษุฉันภัตตาหารอย่างไม่ระมัดระวัง จึงมีโอกาสทำให้เกิดอาการท้องเสียหรือท้องร่วงได้ ดังนั้น ก่อนนำภัตตาหารมาฉัน ควรจะตรวจดูในเบื้องต้น ดมกลิ่นว่าอาหารนั้นบูดหรือไม่ ถ้าไม่แน่ใจ ไม่ควรนำอาหารนั้นมาฉันอย่างเด็ดขาด อย่างไรก็ตาม ต้องขอความร่วมมือจากญาติโยมที่นำอาหารมาใส่บาตร ควรนำอาหารนั้นปรุงสุกใหม่ทุกวัน และก่อนปรุงอาหารควรล้างมือให้สะอาด ไม่ควรนำอาหารค้างคืนหรือนำอาหารเหลือจากวันก่อนมาใส่บาตร เพื่อป้องกันอาหารบูดเสีย จนส่งผลให้พระภิกษุต้องเจ็บป่วยอาพาธอันเกิดจากโรคทางเดินอาหาร
ที่มา...หนังสือพิมพ์ข่าวสด